Last updated: 2 ก.ค. 2568 | 197 จำนวนผู้เข้าชม |
Ferrari Amalfi คือคำตอบใหม่จากมาราเนลโลสำหรับใครที่หลงรักความงามแบบ GT แต่อยากได้ความแรงที่ขยับเข้าใกล้ซูเปอร์คาร์มากขึ้น นี่คือทายาทของ Roma ที่ไม่ได้มาแค่เปลี่ยนชื่อ แต่แทบทุกจุดถูกยกเครื่องใหม่ ตั้งแต่ดีไซน์ภายนอก ภายใน จนถึงหัวใจเครื่องยนต์ V8 ที่ถูกจูนจนดุขึ้นกว่าเดิมแบบรู้สึกได้
ใต้ฝากระโปรงยังคงเป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.9 ลิตรแบบทวินเทอร์โบ (3855 ซีซี) แต่เวอร์ชันนี้คือรุ่นปรับปรุงที่ผ่านการอัปเกรดหลายจุด เริ่มจากการเพิ่มแรงม้าขึ้นอีก 20 ตัว กลายเป็น 631 แรงม้า (640 PS) แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ทำให้ตัวเลข 0-100 กม./ชม. ลดลงเหลือ 3.3 วินาที ซึ่งเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Roma เดิม ความเร็วสูงสุดยังคงอยู่ที่ 320 กม./ชม. แต่การตอบสนองโดยรวมเฉียบคมขึ้นชัดเจน ผลจากการปรับปรุงชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ เช่น เทอร์โบชาร์จเจอร์ใหม่, เซ็นเซอร์วัดแรงดันในแต่ละฝั่งของแถวสูบ, การยกขีดจำกัดรอบไปถึง 7,600 รอบ/นาที รวมถึงการออกแบบบล็อกเครื่องใหม่และแคมชาฟต์น้ำหนักเบา ทั้งหมดนี้ถูกควบคุมผ่าน ECU ใหม่ที่เชื่อมโยงกับระบบส่งกำลังได้ลึกกว่าเดิม
เกียร์ยังเป็นแบบคลัตช์คู่ 8 สปีด อ่างน้ำมัน เหมือนในรุ่นก่อนหน้า แต่เวอร์ชันนี้ถูกอัปเดตด้วยยูนิตควบคุมใหม่ที่ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วขึ้น เนียนขึ้น และรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อต้องขับทั้งในเมืองและทางไกล ส่วนเสียงเครื่องยนต์ที่เป็นลายเซ็นของ Ferrari ก็ยังอยู่ครบ แม้ต้องผ่านกฎควบคุมเสียงที่เข้มงวดกว่าเดิม ด้วยการออกแบบระบบท่อไอเสียใหม่หมด ปรับตำแหน่งชุดลดเสียง และใส่วาล์วบายพาสแบบใหม่ที่ทำงานร่วมกับแผนที่เสียงแบบไดนามิก ช่วยให้เสียงเปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่ได้อย่างลงตัว
ภายนอกยังคงบุคลิกของ Roma แต่คมขึ้น ดิบขึ้น และล้ำขึ้นแบบพอเหมาะ ตัวรถเน้นความลื่นไหลในเส้นสาย แต่เติมลูกเล่นด้วยแผงหน้าทรงใหม่ที่ตัดกระจังหน้าสไตล์ดั้งเดิมออก แล้วแทนที่ด้วยช่องรับอากาศแนวล่างขนาดใหญ่พร้อมแถบสีดำพาดยาวเชื่อมไฟหน้าเข้าหากัน ดูมีกลิ่นอายของรถต้นแบบ ส่วนด้านข้างแทบจะยกมาจาก Roma ทั้งหมด มีเพียงล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วที่เปลี่ยนลายใหม่ พร้อมยางให้เลือกทั้ง Bridgestone Potenza Sport หรือ Pirelli P Zero ส่วนท้ายรถเน้นความโค้งมน แฝงความบึกบึนขึ้นอีกระดับ ช่องป้ายทะเบียนถูกเลื่อนลงไปใกล้กับดิฟฟิวเซอร์ และเติมช่องระบายอากาศใหม่รวมถึงไฟท้ายดีไซน์เฉพาะรุ่น
ภายในคือจุดที่ Ferrari ตั้งใจรีเซ็ตภาพเดิมของ Roma ใหม่หมด โดยเฉพาะการยกเลิกดีไซน์แดชบอร์ดแบบแบ่งฝั่งที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นก่อนหน้า แล้วหันไปใช้การจัดวางที่ใกล้เคียงรถ GT รุ่นคลาสสิกมากขึ้น จอกลางเปลี่ยนจากแนวตั้งเป็นแนวนอนขนาด 10.25 นิ้ว ใช้งานง่าย รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto รุ่นล่าสุด ข้างหน้าคนขับเป็นจอแสดงผลมาตรวัดขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว ที่ตอบสนองรวดเร็ว และทางฝั่งผู้โดยสารยังมีจอ 8.8 นิ้วที่โชว์ข้อมูลแรง G และรอบเครื่องได้อย่างเพลิน ๆ
พวงมาลัยยังคงรูปทรง Ferrari รุ่นใหม่ แต่มีการนำสวิตช์จริงกลับมาให้ใช้งานอีกครั้ง รวมถึงปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อะลูมิเนียมที่ฝังอยู่ตรงกลางแบบมีพิธีกรรมเล็ก ๆ ก่อนจะปลุก V8 ให้คำราม ตัวคอนโซลกลางเซาะ CNC จากอลูมิเนียมชิ้นเดียว พร้อมช่องเสียบกุญแจและที่วางสมาร์ตโฟนพร้อมระบบชาร์จไร้สาย ช่องเกียร์แบบ gated shifter ออกแบบให้คล้ายยุคคลาสสิก เพิ่มกลิ่นอายย้อนยุคให้กับบรรยากาศในห้องโดยสาร
เบาะนั่งแบบใหม่ให้เลือกถึง 3 ไซซ์ ปรับอัตโนมัติได้ละเอียด แถมมีระบบนวดด้วยถุงลมถึง 10 จุด และระบบระบายอากาศในตัว รองรับการเดินทางไกลระดับ GT ได้แบบไม่เมื่อย พร้อมออปชันชุดเครื่องเสียง Burmester แบบ 14 ลำโพง กำลังรวม 1,200 วัตต์ สำหรับคนรักเสียงคุณภาพระดับไฮเอนด์
ด้านการควบคุมและระบบความปลอดภัยก็ไม่ใช่ของเล่น Ferrari ใช้ระบบเบรก Brake-by-Wire แบบใหม่ที่ตอบสนองแม่นยำ ลดระยะเบรก และให้ฟีลลิ่งที่เป็นธรรมชาติ เสริมด้วยระบบ ABS Evo ที่ปรับจูนมาให้ทำงานได้ในทุกโหมด Manettino และทุกสภาพถนน พวงมาลัยไฟฟ้าถูกอัปเกรดให้ประเมินการยึดเกาะถนนแม่นยำขึ้นถึง 10% แม้บนพื้นเปียกหรือถนนลื่น
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มีมาให้ครบแบบรถยุโรปยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Cruise Control, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, Blind Spot Monitoring, Lane Keep Assist, Rear Cross Traffic Alert, กล้อง 360 องศา และระบบอ่านป้ายจราจร
Ferrari Amalfi ไม่ได้มาเพื่อแค่เติมเต็มช่องว่างระหว่างรถ GT และรถซูเปอร์คาร์ แต่มันถูกวางตัวให้กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของความสง่างามแบบเร้าใจ คือรถที่คุณอยากขับตอนเช้าในวันธรรมดา แต่ก็พร้อมจะพาคุณทะยานไป 300+ กม./ชม. ได้ทุกเมื่อที่คุณสั่ง