Last updated: 18 มิ.ย. 2568 | 224 จำนวนผู้เข้าชม |
ถ้าพูดถึงรถไฟฟ้าที่เปลี่ยนโลก หนึ่งในชื่อที่ต้องพูดถึงคือ Nissan Leaf—รถ EV ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 และขายไปแล้วเกือบ 7 แสนคันทั่วโลก แต่หลังจากอยู่ในตลาดมานานพร้อมหน้าตาที่ค่อนข้าง “เรียบร้อย” มาตลอด ตอนนี้ Nissan ตัดสินใจยกระดับ Leaf ใหม่หมดจด ตั้งแต่หน้าตา แพลตฟอร์ม สมรรถนะ ไปจนถึงเทคโนโลยี ด้วยภารกิจเดียวคือ “จะต้องทำให้คนที่ขับรถน้ำมัน...อยากเปลี่ยนใจ”
ลาก่อน hatchback, สวัสดี fastback crossover
ถ้าใครเคยคุ้นเคยกับ Leaf รุ่นก่อนในฐานะ hatchback กลม ๆ ทรงกะทัดรัด มารอบนี้อาจต้องตั้งสติกันนิด เพราะ Leaf รุ่นที่ 3 ปรับทรงใหม่หมด มาในลุค fastback crossover สายสปอร์ต ที่ทั้งคล่องตัวขึ้นและดูล้ำยุคขึ้นอีกขั้น รายละเอียดหลายจุดเหมือนดึง DNA จากรุ่นพี่อย่าง Nissan Z มาใช้ โดยเฉพาะท้ายลาดสไตล์คูเป้กับสปอยเลอร์ในตัว แถมยังมีความโฉบเฉี่ยวคล้าย Tesla Model Y เลยทีเดียว
ด้านหน้ามีการติดตั้งไฟหน้า LED แบบเฉียบคม พร้อมกระจังหน้าที่ไม่มีช่องลมตามสูตร EV ใหม่ แต่มาพร้อม active grille shutter ที่จะเปิด-ปิดตามความเร็วเพื่อช่วยลดแรงต้านอากาศ และ Nissan ก็บอกชัดว่า Leaf ใหม่นี่แหละ “คือรถที่แอโรไดนามิกที่สุดของบริษัท” โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.25 เท่านั้น
มิติกะทัดรัดแต่ภายในกว้างขึ้นกว่าเดิม
ตัวรถแม้จะมีขนาดเล็กลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Leaf เจนก่อน แต่ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม CMF-EV ที่แชร์กับ Nissan Ariya ก็ช่วยให้ภายในกว้างขวางขึ้นอย่างชัดเจน พื้นรถเรียบสนิท ไม่มีอุโมงค์กลาง และสามารถออกแบบห้องโดยสารได้โปร่งขึ้น แถมยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 437 ลิตร — เพิ่มจากรุ่นก่อนเล็กน้อย แต่จัดพื้นที่ได้ฉลาดกว่าเดิม
ภายในเรียบหรู พร้อมฟีล “Tech-Lounge”
ภายในห้องโดยสาร มาในสไตล์ minimalist แบบรถยุคใหม่ ติดตั้งหน้าจอดิจิทัลคู่ขนาด 12.3 นิ้ว หรือ 14.3 นิ้ว ขึ้นอยู่กับตลาดและรุ่นย่อย พร้อมพวงมาลัยสองก้านสุดมินิมอล มีปุ่มแบบสัมผัสเรียงรายบนคอนโซลกลาง และแทนที่คันเกียร์ด้วยปุ่มควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด
จุดขายอีกอย่างคือ หลังคา panoramic พร้อม e-Dimming ที่ใช้เทคโนโลยี electrochromic เคลือบสารกันความร้อนและแสงอินฟราเรด ลดการใช้ม่านบังแดดแบบเดิม และยังมีชุดเครื่องเสียง Bose Personal Plus พร้อมลำโพงบนพนักพิงศีรษะคู่หน้า ใครชอบฟังเพลงนี่คืออีกหนึ่งฟีลที่น่าจะหลงรัก
ขับไกลขึ้น ชาร์จไวขึ้น และยังเป็นมิตรกับบ้าน
ขุมพลังมีให้เลือกสองแบบ เริ่มต้นจากแบตเตอรี่ 52 kWh กับมอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลัง 174 แรงม้า และแรงบิด 345 Nm ส่วนรุ่นท็อปจะใช้แบต 75 kWh พร้อมมอเตอร์แรงขึ้นถึง 214 แรงม้า กับแรงบิด 355 Nm ซึ่งแรงกว่ารุ่นเก่าแบบชัดเจน
รุ่นแบตเล็กวิ่งได้ 436 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ส่วนรุ่นท็อปทะลุถึง 604 กม. และยังรองรับการชาร์จไวสูงสุด 150 kW ที่สามารถชาร์จจาก 10–80% ได้ใน 35 นาที เท่านั้น หรือชาร์จเพิ่มระยะทาง 250 กม. ในเวลาแค่ 14 นาที ซึ่งใกล้เคียงกับเวลาที่ใช้เติมน้ำมันเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจอีกจุดคือ Leaf ใหม่สามารถทำ vehicle-to-load (V2L) และ vehicle-to-home (V2H) ได้ ขึ้นอยู่กับตลาด นั่นแปลว่ามันสามารถจ่ายไฟกลับบ้าน หรือใช้งานเป็นแบตสำรองในสถานการณ์ฉุกเฉินได้เลย
ระบบขับขี่อัจฉริยะ จัดเต็มทุกมุม
ด้านความปลอดภัยและช่วยขับขี่ Leaf ใหม่นั้นไม่ธรรมดา เพราะมาพร้อม ADAS ระดับสูง เช่น ProPILOT, กล้องมุมมองรอบคันแบบ 3D, โหมดมองทะลุฝากระโปรงหน้าที่เรียกว่า Invisible Hood View, ระบบช่วยเบรกในเมืองอัตโนมัติ และโหมด Front Wide View ที่ช่วยให้มองเห็นรถขณะออกจากซอยแคบ ๆ ได้อย่างปลอดภัย
ช่วงล่างใหม่แบบ multi-link หลัง รองรับการขับขี่ที่มั่นใจขึ้น และมีความแข็งแรงด้านข้างมากกว่ารุ่นเก่าถึง 66% มั่นใจในโค้ง ไม่โยน
แล้วไทยจะได้ใช้มั้ย? มีลุ้นแล้ว!
แม้ในประกาศอย่างเป็นทางการ Nissan จะยังไม่พูดถึงประเทศไทยโดยตรง แต่มีรายงานจากฝั่งสื่อไทยว่า นิสสันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงพิจารณานำ Leaf เจนใหม่นี้เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งถ้ามา ก็มีโอกาสเปิดตัวประมาณปลายปี 2026 หรือไม่เกินต้นปี 2027
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะ Nissan เคยนำเข้า Leaf รุ่นที่แล้วมาจำหน่ายแบบ official แม้ยอดขายจะไม่ได้เยอะ แต่ก็ถือเป็นแบรนด์ที่กล้านำเสนอ EV ล่วงหน้ามาก่อนใคร และในยุคที่โครงสร้างพื้นฐาน EV ไทยเริ่มลงตัวมากขึ้น Leaf รุ่นใหม่นี้อาจเป็นหมากสำคัญในกลยุทธ์ EV ของ Nissan ในภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้
สรุปแบบเข้าใจง่าย: Nissan Leaf เจนใหม่คือการรีบูตรถไฟฟ้าให้ดูดีขึ้น วิ่งไกลขึ้น ชาร์จเร็วขึ้น และใช้งานได้จริงขึ้นอีกเยอะ บวกกับดีไซน์ที่หล่อขึ้นแบบเห็นได้ชัด และฟีเจอร์สุดล้ำที่ปกติจะเจอแต่ในรถราคาแพงกว่านี้มาก ถ้าเปิดตัวในไทยจริงๆ จะเป็นอีกหนึ่ง EV ที่น่าจับตามากในปี 2026 แน่นอน