Last updated: 4 มิ.ย. 2568 | 356 จำนวนผู้เข้าชม |
ถ้าพูดถึงชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในวงการมอเตอร์สปอร์ต “McLaren F1 GTR หมายเลข 59” ที่คว้าแชมป์ 24 Hours of Le Mans ปี 1995 คงติดอันดับในใจใครหลายคน เพราะมันไม่ใช่แค่ชนะ — แต่มันคือ การชนะตั้งแต่ลงสนามครั้งแรก! และวันนี้ McLaren ขอย้อนตำนานกลับมาอีกครั้งในรูปแบบรถถนนสุดพิเศษที่มีชื่อว่า 750S Le Mans
รุ่นพิเศษที่มีเพียง 50 คันในโลก
750S Le Mans ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง ครบรอบ 30 ปีชัยชนะ Le Mans 1995 โดยใช้พื้นฐานจากซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง McLaren 750S Coupe ซึ่งเป็นรุ่นต่อยอดจาก 720S ที่โด่งดังก่อนหน้านี้
จำนวนการผลิตจำกัดเพียง 50 คันทั่วโลก เท่านั้น ทำให้มันไม่ใช่แค่รถ แต่มันคือของสะสมที่มี “ตำนาน” ฝังอยู่ในโครงสร้าง
ดีไซน์ภายนอก: แรงบันดาลใจจากรถแข่ง
เพื่อความพิเศษและแตกต่างจาก 750S ปกติ รุ่น Le Mans ได้รับการปรับแต่งผ่านแผนก MSO (McLaren Special Operations) ซึ่งใส่ชุด High Downforce Kit เข้าไปให้สมกับความเป็นรถที่ถือกำเนิดจาก Le Mans
ชุดแอร์โรพาร์ทคาร์บอนไฟเบอร์ประกอบด้วย:
- สปลิตเตอร์หน้าใหม่ ที่ช่วยเพิ่มแรงกด
- รูฟสคูป ที่อ้างอิงจาก McLaren F1 GTR เดิม
- ปีกหลังแบบแอคทีฟขนาดใหญ่
- ลูเวอร์ด้านหลัง ที่ช่วยระบายแรงลมใต้รถ
สีตัวถังมีให้เลือก 2 สีพิเศษเท่านั้น:
- Le Mans Grey (เทาดุดัน)
- McLaren Orange (ส้มสไตล์ทีมแข่ง)
ล้อแม็ก 5 ก้านทรงคลาสสิก LM มาในโทน Stealth Finish พร้อม คาลิปเปอร์เบรกสี F1 Gold และโลโก้ McLaren สีแดงแบบเฉพาะกิจ และถ้าอยากเบรกอย่างมั่นใจ ยังสามารถเลือกอัปเกรดเป็น ชุด Track Brake แบบเดียวกับรถแข่ง ได้อีกด้วย
ห้องโดยสาร: หรูหราในแบบสนามแข่ง
ภายในห้องโดยสารผสมผสานวัสดุระดับไฮเอนด์ ได้แก่:
- Alcantara สี Carbon Black และ หนัง Jet Black Soft Grain
- แซมด้วย สีตัด Alcantara แบบเฉพาะ — เลือกได้ระหว่าง Dove Grey หรือ McLaren Orange
- ตราปัก Le Mans บนหมอนรองศีรษะและพรมพื้นรถ
- แผ่น โลหะระบุหมายเลขลำดับการผลิต (1/50 ถึง 50/50)
และยังสามารถเลือกเพิ่ม แผ่นป้ายบันทึกชัยชนะ Le Mans ปี 1995 ไว้ที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหน้าสำหรับสายสะสมที่อินกับประวัติศาสตร์
ขุมพลัง: แรงเท่าเดิม แต่คาแรกเตอร์เปลี่ยน
แม้ภายนอกและภายในจะปรับใหม่หมด แต่ McLaren ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะดิบๆ ของ 750S รุ่นปกติ:
- เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Twin-Turbocharged
- พละกำลังสูงสุด 740 แรงม้า (bhp)
- แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร (590 lb-ft)
- ขับเคลื่อนล้อหลัง ส่งผ่านเกียร์ 7 สปีด Dual-Clutch
- น้ำหนักเบากว่า 720S ถึง 30 กก. ทำให้ตอบสนองเร็วขึ้น ทั้งในการเร่งและเข้าโค้ง
แม้จะไม่ได้อัปเกรดแรงม้าเพิ่ม แต่บอกเลยว่า “เหลือเฟือ” จนบางคนอาจเผลอคิดว่าอยู่ใน Le Mans จริงๆ
การกลับมาสู่ Le Mans อีกครั้ง (ของจริง)
McLaren ยังไม่ได้หยุดแค่รถถนน เพราะในปี 2025 พวกเขาจะลงสนาม Le Mans ด้วย 750S GT3 EVO สองคัน และในปี 2027 ก็เตรียมส่ง รถ LMDh ไฮเปอร์คาร์ใหม่ เพื่อคืนสู่ตำแหน่งจ้าวสนามในคลาสสูงสุด
McLaren 750S Le Mans ไม่ได้เป็นแค่รถรุ่นพิเศษ แต่เป็นของขวัญจากอดีตสู่ปัจจุบัน สำหรับคนที่รักทั้งความเร็ว ความหายาก และเรื่องเล่าเบื้องหลังชัยชนะที่ไม่ธรรมดา