Last updated: 14 พ.ค. 2568 | 308 จำนวนผู้เข้าชม |
Nissan เพิ่งผ่านปีการเงินที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 20 ปี ด้วยผลประกอบการที่เรียกได้ว่า "แดงเถือก" อย่างเป็นทางการ บริษัทญี่ปุ่นแห่งนี้รายงานผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2024 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2025) ซึ่งตัวเลขนั้น “ตามคาด” และแย่กว่าที่หลายฝ่ายกังวล
กำไรจากการดำเนินงานร่วงลงถึง 87.7% โดย CFO ของ Nissan อย่าง Jérémie Papin ชี้สาเหตุหลักมาจาก “ยอดขายลดลง, โครงสร้างผลิตภัณฑ์ไม่สมดุล, แรงกดดันด้านราคา และต้นทุนที่สูงขึ้น” โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างบริษัทที่สูงถึง 405 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน Nissan ต้องบันทึกขาดทุนสุทธิสูงถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลอดปี
ยอดขายยังพอไหว แต่ต้นทุนกำลังพาให้จม
แม้ตัวเลขจะชวนหดหู่ แต่ยอดขายจริงกลับไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนัก Nissan ขายรถทั่วโลกลดลงเพียง 2.8% โดยยอดในจีนหดตัว 12.2% ขณะที่ตลาดอเมริกาเหนือกลับโตขึ้น 3.3% รายได้รวมทั้งปีลดลงไม่ถึง 0.5% แต่ปัญหาหลักคือบริษัทกำลังจมอยู่กับภาระต้นทุนมหาศาล
“ผลประกอบการปีนี้เป็นเหมือนสัญญาณปลุกให้เราตื่น” – Ivan Espinosa, CEO ของ Nissan กล่าวแบบไม่อ้อมค้อม
“ต้นทุนแปรผันของเราสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และต้นทุนคงที่ของเราก็เกินกว่าที่รายได้จะรับไหว”
ปี 2025: ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน (และความอดทน)
ด้วยเหตุนี้ Nissan จึงมองว่าปี 2025 จะเป็น “ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ที่ยังต้องยอมเจ็บก่อนดีขึ้น ยอดขายทั่วโลกน่าจะลดลงอีกเล็กน้อย ขาดทุนก็ยังมาแน่ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามากแค่ไหน อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญคือ “ภาษีนำเข้า” ที่ผันผวนในหลายประเทศ ซึ่ง Nissan คาดว่าจะทำให้บริษัทเสียหายอีกราว 3 พันล้านดอลลาร์
ข่าวร้ายมีอยู่เพียบ แต่อย่าเพิ่งสรุปว่า Nissan จบแล้ว เพราะสิ่งที่ตามมาคือ แผนฟื้นฟูบริษัทแบบจริงจัง ที่ใช้ชื่อว่า RE: Nissan
RE: Nissan – แผนฟื้นฟูแบบเร่งด่วน เพื่ออยู่รอด
"RE: Nissan" เริ่มต้นจากการย้ำว่า บริษัทยังมีเงินสดอยู่ในมือถึง 23 พันล้านดอลลาร์ และมีวงเงินเครดิตอีก 14.2 พันล้านดอลลาร์ สิ่งแรกที่จะทำคือ “ลดต้นทุน” ซึ่งรวมถึงการ ปลดพนักงานเพิ่มอีก 10,000 คน ทำให้ยอดรวมผู้ถูกเลิกจ้างแตะระดับ 20,000 คน
ไม่เพียงเท่านั้น Nissan ยังจะ ปิดโรงงาน 7 แห่ง ภายในปี 2027 เหลือเพียง 10 แห่งทั่วโลก เพื่อรวมศูนย์การผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ในฝั่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Nissan วางแผน ลดค่าใช้จ่ายด้านวิศวกรรมลง 20% ลดความซับซ้อนของรถใหม่ลงถึง 70% พร้อมเร่งกระบวนการพัฒนาให้จบใน 30 เดือน ซึ่งหากทำได้ตามแผนจะช่วยประหยัดต้นทุนอีกราว 3.4 พันล้านดอลลาร์
“นี่คือจุดที่เราต้องทำให้เร็วขึ้น และลึกขึ้นกว่าเดิม” – Espinosa กล่าวอย่างหนักแน่น
ไม่ใช่แค่ลดต้นทุน แต่ต้องสร้างรายได้ใหม่
แน่นอนว่าการรัดเข็มขัดเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้บริษัทกำไรได้ RE: Nissan จึงวางกลยุทธ์เพิ่มเติม โดยใช้พันธมิตรเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มุ่งเน้นการ รวมซัพพลายเชน ให้ผลิตได้มากขึ้นในต้นทุนที่น้อยลง
ที่สำคัญคือ การพัฒนารถใหม่จะไม่หยุด! โดยเฉพาะรถไฮบริดและครอสโอเวอร์รุ่นใหม่สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ และมีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ว่า "Skyline รุ่นใหม่" ได้รับการยืนยันแล้ว แต่ยังไม่ชัดว่าจะมาในรูปแบบซีดาน, รถสปอร์ตแรงสูงแบบ GT-R หรือจะผสมทั้งสองทาง
Nissan ยังไม่ล้ม เพียงแค่ต้องเดินผ่านปีที่ยากลำบาก
แม้ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ตอนนี้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องภาษีที่ส่งผลต่อแผนธุรกิจ แต่จากรายงานประจำปีนี้ มี 2 ข้อที่ชัดเจนที่สุดคือ:
Nissan ยังขายรถได้
Nissan ยังมีเงินในธนาคาร
ถ้าแผน RE: Nissan ดำเนินไปได้ตามเป้า บริษัทคาดว่าจะกลับมากำไรอีกครั้งในปี 2026
“ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการตัดสินใจสำหรับเรา” – Jérémie Papin กล่าว
“เรายังมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และมาตรการทั้งหมดใน RE: Nissan ถูกออกแบบมาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกในปีถัดไป”